วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553
ตัวเลขและจำนวนนับในภาษาญี่ปุ่น
ภาษาญี่ปุ่น (日本語, นิฮงโงะ (ข้อมูล)) เป็นภาษาราชการ ของประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีผู้ใช้ทั่วโลกราว 130 ล้านคน นอกเหนือจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว รัฐอังกาอูร์ สาธารณรัฐปาเลา ได้กำหนดให้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาราชการภาษาหนึ่ง นอกจากนี้ภาษาญี่ปุ่นยังถูกใช้ในหมู่ชาวญี่ปุ่นที่ย้ายไปอยู่นอกประเทศ นักวิจัยญี่ปุ่น และนักธุรกิจต่าง ๆ
คำภาษาญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลมาจากภาษาต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาษาจีน ที่ได้นำมาเผยแพร่มาในประเทศญี่ปุ่นเมื่อกว่า 1,500 ปีที่แล้ว และตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ก็ได้มีการยืมคำจากภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาจีนมาใช้อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียน เช่นคำที่มาจากภาษาดัตช์ ビール (bier แปลว่า เบียร์) และ コーヒー (koffie แปลว่า กาแฟ)
ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาราชการของประเทศด้วยความนิยม ซึ่งเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาราชการเต็มตัว (ไม่มีการใช้ภาษาต่างประเทศในวงราชการ) ภาษาญี่ปุ่นมีแบบภาษาที่เรียกกันว่ามาตรฐาน 2 แบบ คือ เฮียวจุงโงะ (標準語, hyōjungo?, ภาษามาตรฐาน) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันโทรทัศน์ และเคียวซือโงะ (共通語, kyōtsūgo? ภาษาร่วม) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างไม่เป็นทางการ
เราจำแนกตัวอักษรญี่ปุ่นออกเป็นสองจำพวก คือ กลุ่มตัวอักษรที่ใช้แทนเสียง ซี่งได้แก่ ฮิระงะนะ และ คะตะคะนะกับ กลุ่มตัวอักษรที่แสดงความหมาย ที่เรียกว่า คันจิ โดยใช้ร่วมกับตัวเลขอารบิก และตัวอักษรโรมัน ซึ่งจะมีความหลากหลายมากกว่าภาษาที่ใช้ในประเทศใกล้เคียง เช่น ภาษาจีนซึ่งใช้ตัวอักษรจีน เป็นหลัก ส่วนภาษาเกาหลีก็จะใช้อักษรฮันกึลเป็นหลัก
เนื่องจากตัวคันจิซึ่งญี่ปุ่นรับมาจากภาษาจีนมีจำนวนมาก บางครั้งมีการใช้ตัวอักษรที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบ กระทรวงศึกษาธิการของรัฐบาลจึงได้กำหนดมาตรฐานของตัวคันจิ ซึ่งเรียกว่า โจโยคันจิ ประกอบด้วยตัวอักษร 1,945 ตัว เป็นตัวคันจิที่คนญี่ปุ่นทั่วไปทราบกันดี โดยไม่จำเป็นต้องเขียนคำอ่านกำกับ
เป็นไงค่ะภาษาญี่ปุ่นไม่ยากเลยใช่ไหมค่ะ.....
zZ...ตกแต่งห้องนอนให้หลับฝันหวาน...Zz
1. การจัดวาง ห้องนอนเป็นห้องที่ใช้ในการพักผ่อนและเป็นห้องที่มีความเป็นส่วนตัวมากที่สุด การจัดวางห้องนอนจึงควรจัดให้เป็นห้องที่มีความสบายและผ่อนคลาย โดยทั่วไปแล้วมักจะจัดไม่ให้เตียงนอนหันหัวในทางตรงข้ามกับประตูเข้าห้องนอน นอกจากจะเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ที่สามารถเลี่ยงไม่ให้วางเตียงตรงกับประตูได้ ในกรณีที่มีห้องนอนขนาดใหญ่สามารถจัดพื้นที่บางส่วนเป็นส่วนทำงานและเป็นเสมือนด่านหน้าก่อนจะเข้าถึงพื้นที่ส่วนเตียงได้อีกด้วย แต่การจัดห้องทำงานในห้องนอนนั้นก็ควรมีตู้หรือฉากกั้นเป็นสัดส่วน เพื่อไม่ให้เกิดความเครียดหรือการรบกวนกันของการใช้งานทั้ง 2 ส่วน นอกจากนี้ ปัจจุบันยังนิยมกั้นพื้นที่บริเวณใกล้ห้องน้ำเป็นพื้นที่แต่งตัวอีกด้วย
2. การเลือกวัสดุและสีห้องนอน ห้องนอนเด็กควรตกแต่งห้องให้น่าสนใจด้วยจินตนาการของการเลือกสี เด็กเล็กมักจะให้ความสนใจต่อสี การเลือกเฟอร์นิเจอร์จึงมักเรียบง่ายแต่เน้นสี ให้สะดุดตาห้องนอนผู้ใหญ่จะตกแต่งไปตามสไตล์ความชอบส่วนบุคคล การเลือกโทนสีเนื้อนวล หรือสีโทนร้อนที่ไม่ร้อนแรงเกินไปเช่นสีเปลือกไข่ไก่ สีเหลืองอ่อนๆ จะช่วยทำให้ห้องมีความสว่างสดใสและอบอุ่น มีบรรยากาศพักผ่อนที่ดีอุปกรณ์เครื่องนอนควรเลือกผ้าฝ้ายธรรมชาติ ที่ไม่ผ่านการฟอกย้อม
3. เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวและการตกแต่ง ในห้องนอนโดยมากไม่ควรปูพรมเพราะจะเป็นที่สะสมของไรฝุ่น ควรปูพื้นไม้ที่ให้ความเป็นธรรมชาติและทำความสะอาดง่าย แม้แต่ผ้าเช็ดเท้าหน้าเตียงก็ควรหลีกเลี่ยงพรมขนฟูควรใช้ผ้าฝ้ายผืนพอเหมาะที่สามารถซักได้ และเลือกหมอนที่ซักล้างทำความสะอาดได้ง่าย หากต้องมีพรมให้ใช้พรมขนสัตว์แท้ หรือพรมจากวัสดุธรรมชาติอื่น ๆ แทนพรมสังเคราะห์ ไม่ควรมีเฟอร์นิเจอร์กีดขวางทิศทางจากห้องนอนไปห้องอื่นที่สำคัญในบ้าน เช่น จากเตียงสู่ห้องน้ำเนื่องจากอาจมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าห้องน้ำในเวลากลางคืน เตียงนอนไม่ควรหันปลายเท้าทางประตูทางเข้าเพราะเมื่อมีผู้เข้าออกจะทำให้รบกวนผู้นอน ตู้เสื้อผ้า Built-in จะสร้างได้พอเหมาะกับที่ว่างที่มีอยู่ และใช้ปิดมุมเสาให้ห้องดูนุ่มนวลลงได้ ประตูตู้เป็นบานเปิดหรือบานเลื่อนขึ้นอยู่กับที่ว่างหน้าตู้ที่มีอยู่ ถ้าที่ว่างน้อยควรใช้ประตูเป็นบานเลื่อน
4. แสงและเสียงในห้องนอน ห้องนอนเป็นห้องที่มีความเป็นส่วนตัวมากที่สุดในบ้านการจัดวางทิศทางต้องคำนึงถึงช่องเปิดหรือหน้าต่างที่ จะรับลมได้ดีถ้าไม่มีเครื่องปรับอากาศสำหรับบ้านในกรุงเทพทิศทางลมจะมาจากทุกทิศทางควรทำช่องเปิดมากกว่าหนึ่งด้าน ผู้อยู่อาศัยที่ชื่นชอบแสงเวลาเช้าให้หันทิศทางห้องนอนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ คนส่วนมากที่ไม่ชอบตื่นเช้าให้หันทิศทางห้องและหัวนอนไปทางทิศเหนือ และไม่หันหัวเตียงไปทางหน้าต่าง แสงที่เข้ามาจะเป็น Indirect Light สะท้อนที่ผนังก่อนจะเข้าตา ช่วยไม่ให้แสงแยงเข้าตาเราสามารถแยกส่วนห้องนอนกับห้องแต่งตัวออกจากกัน เพื่อให้ห้องนอนมีขนาดกว้างขวางขึ้นบริเวณแต่งตัวและโต๊ะเครื่องแป้ง ควรแยกเป็นสัดส่วนกับบริเวณนอน และต่อเนื่องกับห้องน้ำในกรณีที่มีห้องน้ำติดกับห้องนอน ไม่ควรอยู่ทางเข้าเนื่องจากจะทำให้เห็นความไม่เรียบร้อย
ู^o^หัวเราะวันละนิดจิตแจ่มใส^O^
ถ้าไม่รู้จะหัวเราะเรื่องอะไร นี้เลยดูแล้วหัวเราะแน่นอน>>>
แน่ๆๆๆๆ.....หัวเราะกันใหญ่
ดังนั้นคนเราจึงน่าสนุกกับชีวิตให้มากกว่านี้ อย่าเครียดหรือจริงจังกับชีวิตมากเกินไป ปล่อยวางเสียบ้าง เพิ่มอารมณ์ขันให้กับตัวเอง วันละนิด พิชิตความเครียดได้วันละหน่อย.....
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553
^0^ Unseen......แห่งใหม่ที่มอหินขาว ^0^
“มอหินขาว” เป็นสวนหินธรรมชาติที่ค้นพบในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติภูแลนคา จังหวัดชัยภูมิ ที่มีการกล่าวขานกันว่า เป็นสวนหินมีลักษณะเป็นแท่งที่วางเรียงรายคล้ายกับสวนหินสโตนเฮ้นจ์ในประเทศอังกฤษ ซึ่งตัวเราเองก็ไม่รู้ว่าในประเทศเมืองนอกนั้นมีหน้าตาอย่างไร เอาเป็นว่าเราไปดูกันในเมืองไทยบ้านเราดีกว่า...
เส้นทางการค้นหาสวนหินธรรมชาติที่มีรูปทรงแปลกตานี้ ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป จัดว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ แต่อาจรู้จักเฉพาะในท้องถิ่นเท่านั้น ดูได้จากสภาพถนนหนทางที่เข้าไป ยังยากลำบาก ถ้าเป็นหน้าฝนต้องใช้รถ 4WD แต่ถ้าเป็นหน้าแล้งเป็นรถปิกอัพก็สามารถขึ้นไปได้
จากตัวเมืองชัยภูมิมุ่งหน้าไปยังน้ำตกตาดโตน ก่อนจะถึงด่านเก็บเงินของอุทยานแห่งชาติตาดโตน จะมีทางแยกซ้ายไปยังบ้านแจ้งเจริญ บ้านวังน้ำเขียว จนไปถึงบ้านวังคำแคน ต่อจากนั้นก็เป็นเส้นทางที่ยากลำบากมากขึ้น จะเป็นเส้นทางที่ค่อยๆ ขึ้นเนินเขา เป็นทางดินเป็นหลุมเป็นร่องตามแนวร่องน้ำเซาะ
เรากำลังเดินทางขึ้นสู่แนวเทือกเขาภูแลนคาที่มีแนวสันเขาสูงขึ้นไปทางด้านตะวันตก ซึ่งสภาพสองข้างทางก็เป็นทุ่งโล่ง มีไร่มันสำปะหลัง ไม่มีเหลือสภาพป่าให้เห็นอีกแม้แต่น้อย เนื่องจากได้ผ่านกระบวนการทำลายป่าเพื่อเอาที่ดินเหล่านั้นเป็นพื้นที่เกษตรกรรม
ใช้เวลาขับรถมาไม่นานเราก็มองเห็นแนวสวนหินตั้งโดดเด่นในบริเวณทุ่งหญ้า สามารถมองเห็นได้แต่ไกล “มอหินขาว” ที่ปรากฏเห็นอยู่บ้างหน้าจะมีลักษณะเป็นแท่งสูงประมาณ 6-7 เมตร ปักตั้งเด่นบนพื้นดิน วางเรียงอยู่ 4 ต้น เป็นแนวขนานกับแสงตะวัน มีขนาดและรูปทรงที่แตกต่างกัน ซึ่งจัดว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่แปลกมหัศจรรย์จริงๆ ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทุกคนต้องแปลกใจว่าทำไมแท่งหินเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ผุดตั้งขึ้นมาจากพื้นดิน ราวกับว่าเป็นดอกเห็ด อีกทั้งในบริเวณเดียวกันนั้นก็ไม่ได้มีสภาพภูมิประเทศเป็นลานหินแต่อย่างใด พื้นล่างเป็นดินทรายล้วนๆ มีทุ่งหญ้าปกคลุมอยู่ด้านล่าง
ประกอบกับแนวแท่งหินที่วางเรียงบนพื้นที่โล่ง ด้านหลังจะเป็นทิศตะวันตก เราจึงเลือกถ่ายกลุ่มมอหินขาวกลุ่มที่ 1 ในช่วงยามพระอาทิตย์จะตก เราจึงได้แสงสีทองที่สาดลงบนยอดหญ้า ประกอบกับมุมที่เลือกถ่ายจะเป็นภาพย้อนแสง จึงได้เห็นยอดหญ้าระยิบระยับ สร้างความโดดเด่นของกุ่มมอหินขาวให้เกิดเป็นภาพที่สวยงามขึ้นมาได้
เส้นทางถนนดินตัดผ่านแนวด้านหน้าของมอหินขาว ฝั่งทางด้านตะวันออกยังมีแท่งหินขนาดใหญ่อีกแท่งหนึ่งวางอวดทรงท้าลมท้าแดดท้าฝน อยู่เคียงคู่กับกลุ่มหินหินขาวกลุ่มแรก ที่แสดงพลังมหัศจรรย์ในมุมมองไม่ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน หากว่าเราไม่คิดทำการสำรวจในครั้งนี้ก็คงไม่ได้เห็นความมหัศจรรย์ของมอหินขาว
เลยจากมอหินขาวกลุ่มแรกขึ้นไปก็เป็นที่ราบ มีแค้มป์ปลูกป่า ที่มีทิวทัศน์ของเห็นแนวเทือกภูแลนคาได้กว้างขวาง สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ทั้งยามเช้าและยามเย็น จากหน่วยปลูกป่าขึ้นไปอีกประมาณ 400 เมตร ก็จะพบกลุ่มหินอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มใหญ่พอประมาณสามารถมองเห็นได้แต่ไกลทีเดียว
เนื่องจากเป็นพื้นที่แห่งใหม่ ยังไม่ได้จัดระบบให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด ดังนั้นการจะพักค้างแรมกันสักคืนก็ต้องอาศัยเพิงพักของแค้มป์ปลูกป่า ต้องการเต็นท์กันเอง สะดวกหน่อยก็มีห้องน้ำห้องสุขา ถ้าหากจะอาบน้ำก็ไปลงลำธารที่อยู่ในหุบด้านหลังแค้มป์
ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจของมอหินขาว เราก็ทราบจากเจ้าหน้าที่ของแค้มป์ปลูกป่าว่า ยังมีกลุ่มหินอีก 2 กลุ่ม โดยกลุ่มที่2 นั้นเราจะเห็นถัดไปจากแค้มป์ที่พักไปประมาณ 500 เมตร เนื่องจากเป็นทุ่งโล่งจึงสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ส่วนกลุ่มหินที่ 3 นั้นจะอยู่สุดแนวเขตสันเขา ในพื้นที่ส่วนนั้นจะเป็นป่าหินและมีหมู่ดอกไม้กล้วยไม้ที่ขึ้นกันหนาตาพอสมควร และยังมีจุดชมวิว ที่เรียกว่า “สุดแผ่นดิน” เช่นเดียวกับที่ป่าหินงาม
ก่อนที่พระอาทิตย์จะลับแสง เราได้ขับรถขึ้นไปยังมอหินขาวกลุ่มที่ 2 ซึ่งจะเป็นเส้นทางลำลองสำหรับปลูกป่า ทางรถก็ผ่านกลุ่มสวนหินที่วางระเกะระกะมากมาย รูปทรงของหินก็มีรูปแบบต่างๆ ขึ้นอยู่ว่าจะจินตนาการมองเห็นเป็นรูปใด
แสงสียามเย็นที่สาดกระทบตามหมู่โขดหิน ได้บังเกิดเป็นภาพที่ดูเด่นกว่าสภาพแสงตอนกลางวัน ยิ่งเราได้ขึ้นไปยืนอยู่มุมสูง และจึงมองเห็นทิวทัศน์ได้รอบด้าน ลักษณะกลุ่มหินจะมีจำนวนมากกว่ากลุ่มแรก แต่ระดับความสูงน้อยกว่า เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ “มอหินขาว” ก็ต้องเป็นกลุ่มหินกลุ่มแรกที่อยู่ทางด้านล่าง
สำหรับบรรยากาศของป่าเทือกภูแลนคานี้ค่อนข้างสบาย เพราะมีสภาพโปร่งโล่ง ถ้าเป็นหน้าแล้งก็จะร้อนน่าดู เราเชื่อว่าอีกไม่นาน แหล่งท่องเที่ยวมอหินขาวแห่งนี้จะมีการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวในแนว Unseen จนกลายเป็นที่นิยมอย่างเช่น ทุ่งกระเจียวที่ป่าหินงาม หรือทุ่งกระเจียวที่น้ำตกไทรทอง ซึ่งอยู่ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ เช่นกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นเราได้ย้อนลงมาถ่ายภาพมอหินขาวกลุ่มแรกอีกครั้ง ก็พบว่าสภาพบรรยากาศก็แตกต่าง มีสายหมอกลอยมาจากด้านตะวันออก แม้ว่าพระอาทิตย์ไม่ได้โผล่แสงออกมาตามที่ต้องการ แต่ก็ให้บรรยากาศของภาพที่สวยงามไม่น้อย
หลังจากอาหารเช้าแล้วทางเจ้าหน้าที่ของแค้มป์ปลูกป่าได้พาเราเข้าไปยังกลุ่มหินกลุ่มที่ 3 ที่รถเข้าไปส่งได้จุดหนึ่งแล้วต้องเดินเท้าเข้าไปยังป่าหินที่รกและซับซ้อน ทว่าในความซับซ้อนเหล่านั้นก็แฝงไปด้วยหมู่กล้วยไม้จำนวนมากมาย
สิงโตสมอหิน ที่เกาะขึ้นตามโขดหินมากมาย พร้อมกับผลิดอกบาน ซึ่งเราจะเลือกถ่ายเฉพาะดอกที่สวยและสมบูรณ์ที่สุด
ตามลานหินที่ชุ่มน้ำแฉะๆ เราได้พบกับดอกไม้สีเหลืองสดใสขึ้นเป็นกลุ่มหนาตา เป็นจำพวกสร้อยสุวรรณา ที่สวยเพริศแพร้วอยู่ตามลานหิน แม้กระทั่งเอื้องม้าวิ่ง ต่างก็ชูช่อล้อเล่นลม
นอกจากนี้ก็ยังมีดอกไม้อีกหลายชนิดที่ผลิบานรองรับในช่วงฤดูกาลนี้ ซึ่งเราก็พบว่ามันก็มีความหลากหลายอยู่หลายชนิด อีกทั้งยังมีจุดชมวิวที่ริมผา เหมือนกับจุดชมวิว “สุดแผ่นดิน” โดยมีเทือกด้านหนึ่งเป็นแนวเทือกเขาพญาฝ่อ
ถึงวันนี้ “มอหินขาว” คือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มีรูปทรงแปลกตา สามารถจัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในรูปแบบของมุมมองแปลกใหม่ที่เราได้ค้นนำมาให้ชมกันว่า ในเมืองไทยของเรานั้นมีอะไรดีๆ อีกมากมาย เราเชื่อว่า “มอหินขาว” แห่งนี้ ต่อไปคงได้รับการพัฒนาให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนต่อไป
จากตัวเมืองชัยภูมิมุ่งหน้าไปยังน้ำตกตาดโตน ก่อนจะถึงด่านเก็บเงินของอุทยานแห่งชาติตาดโตน จะมีทางแยกซ้ายไปยังบ้านแจ้งเจริญ บ้านวังน้ำเขียว จนไปถึงบ้านวังคำแคน
หากไม่แน่ใจก็ให้สอบถามเส้นทางจากชาวบ้านแถวนั้นได้เลย ทุกคนรู้จักดี ออกจากหมู่บ้านไป ก็เป็นเส้นทางที่ยากลำบากมากขึ้น จะเป็นเส้นทางที่ค่อยๆ ขึ้นเนินเขา เป็นทางดินเป็นหลุมเป็นร่องตามแนวร่องน้ำเซาะ รถปิ๊กอัพธรรมดาสามารถขึ้นไปได้
|
**10 วิธีการทำให้หน้าใสไรสิว**
2.นำผิวส้มมาปั่นกับน้ำสะอาดจนได้เนื้อครีมข้น จากนั้นล้างหน้าให้สะอาด ซับให้แห้งเบาๆ แล้วนำเนื้อครีมที่ได้ทาบางๆ บนสิวและรอบๆ สิว ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก แค่นี้ก็จะช่วยให้สิวค่อยๆ ยุบตัวลงได้แล้ว
3.นำกระเทียมสดมาฝานเป็นแว่นบางๆ จากนั้นล้างหน้าให้สะอาดซับให้แห้ง แล้วใช้กระเทียมค่อยๆ ลูบไล้บริเวณที่เป็นสิว จะช่วยลดรอบแดงของสิวและทำให้สิวยุบตัวเร็วขึ้นได้
4.นำน้ำมันถั่วลิสง 1ช้อนโต๊ะมาผสมกับน้ำมะนาวคั้นสด 1 ช้อนโต๊ะ แล้วนำมาทาบางๆให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ซักพักแล้วล้างออกให้สะอาด วิธีนี้จะช่วยป้องกันการเกิดสิวอักเสบได้เป้นอย่างดี
5.คั้นนำจากใบสาระแหน่สดหลังล้างหน้าให้สะอาดแล้วนำน้ำใบสะระแหน่ทาบางๆให้ทั่วผิวหน้าเป็นประจำทุกคืน ทิ้งไว้ซักพักแล้วค่อยๆล้างออกให้สะอาดอีกครั้ง วิธีนี้นอกจากจะช่วยรักษาสิวได้แล้ว ยังช่วยป้องกันการเกิดเม็ดผื่นคันโรคผิวหนังอย่างหิดหรือกลากเกลื้อนได้อีกด้วย
6.นำน้ำผึ่งแท้ 1 ช้อนโต๊ะมาผสมกับไข่ไก่ 1 ฟอง (เอาเฉพาะไข่ขาว) แล้วเติมน้ำมะนาวลงไปอีก 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันจากนั้นล้างน้ำให้สะอาด ซับเบาๆ ให้แห้งแล้วนำส่วนผสมที่ได้ทาไว้ให้ทั่วผิวหน้ายกเว้นบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นเสร็จแล้วทาครีมบำรุงผิวตามปกติแค่นี้คุณก็จะเป็นเจ้าของผิวหน้าเนียนสวยไร้สิวกันได้แล้ว
7.นำมะละกอดิบมาปั่นทั้งเมล็ด จากนั้นเอาแต่น้ำ มาแต้มทาบางๆ บริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ซักพักแล้วล่อสงออก วิธีนี้จะช่วยลดอาการอักเสบของสิวได้
***สูตรมี่ไม่เหมาะกับสาวที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิวบอบบาง
8.นำน้ำมะนาวสดมาผสมกับนมสดอุ่นๆ ใช้ล้างผิวหน้าทั้งไว้สักพัก แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด วิธีนี้จะช่วยลดการเกิดสิวอักเสบ สิวหัวดำ และช่วยบำรุงให้ผิวหน้าเนียนไม่แห้งแตกอีกด้วย
9.ผามน้ำมะนาวกับน้ำคั้นจากดอกกุหลาบในปริมาณที่เท่าๆกัน จากนั้นล้างหน้าให้สะอาด แล้วนำส่วนผสมที่ได้ทาบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้สิวยุบลงแล้ว ยังช่วยทำให้หน้าขาวสดใสขึ้นอีกด้วย
10.นำมะเขือเทศสุกเอาเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อมะเขือเทศมาบดให้ละเอียด จากนั้นนำมาทาให้มั่วผิวหน้า ทิ่งใว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วจึงค่อยล้างออก วิธีนี้จะช่วยลดปัญหาการอยแดงจากสิว และช่วยให้สิวยุบเร็วขึ้น แล้วยังช่วยผลัดเซลล์ผิวหน้า เผยให้เห็นผิวหน้าที่ขาวใสขึ้นอีก